ประวัติหลวงพ่ออุ่นใจ วัดถนนโค้ง จ.นครราชสีมา
พื้นเพหลวงพ่ออุ่นใจ เป็นคนกรุงเทพมหานคร เกิดที่โรงพยาบาลเด็กพอเกิดได้ประมาณ 8 เดือน มารดาของท่านก็ได้เสียชีวิตลง หลังจากนั้นท่านก็ได้อยู่กับผู้รับจ้างเลี้ยงเด็ก ชื่อว่านางล้วน แซ่ก้ำกับนางเก๋ง แซ่ก้ำ นางล้วน แซ่ก้ำ ปัจจุบันอายุ 90 ปี เปรียบเสมือนเป็นแม่บุญธรรมของท่าน
ในวัย 8 เดือนนั้นแม่บุญธรรมของท่านได้พาท่านไปให้พระที่อำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา ตั้งชื่อให้ พระที่จังหวัดอยุธยาก็ได้ดูวันเดือนปีเกิดแล้วเห็นว่า ชื่อต้องตั้งให้เป็นๆ เข้าไว้เพราะโตขึ้นจะคด ปลายจะตรง หมายถึงตอนโตขึ้นจะเกเร แต่ตอนปลายจะดี เพราะมีเทวดารักษาอยู่ จึงมีที่มาของชื่อ “อุ่นใจ”
หลวงพ่อเกิดวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2518 ปีเถาะ บิดาชื่อนายเทียมศักดิ์ มารดาชื่อนางลัดดา มีพี่น้อง 4 คนหลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง
การศึกษา จบประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดไผ่ตัน เมื่อจบ ป.6 แล้วก็ได้ไปบวชเรียนอยู่ที่วัดต้นสน อำเภอเมือง จ.อ่างทอง จนจบ ม.3 นักธรรมเอก และเมื่อจบนักธรรมเอกก็ได้ลาสิกขาออกมาทำงาน จนกระทั่งถึงรับราชการทหาร ก็ได้สมัครเป็นทหารอากาศ
ต่อมาจึงมาอุปสมบทเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2542 ณ พัทธสีมาวัดถนนโค้ง
-พระอุปัชฌาย์ ชื่อ พระครูนวกิจจาทร วัดปางแก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
-พระกรรมวาจาจารย์ พระมนต์ชัย อตุกโกสโล วัดมิตรภาพวนาราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2548 หลวงพ่ออุ่นใจ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนโค้ง ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แล้วในปี พ.ศ.2557 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศ เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ในราชทินนาม ที่ “พระครูมนัสศุภนิมิต”
ในส่วนศึกษาธรรมและวิชานั้น พระเดชประคุณ พระครูพิทักษ์ธรรมคุณ หลวงปู่โค้ง (อดีตเจ้าอาวาสวัดถนนโค้ง) และได้ไปธุดงค์ ในป่าดงพญาเย็น (เขาใหญ่) เป็นเวลา 1 เดือน และได้เจอกับหลวงปู่รูปหนึ่ง ภายในหนึ่งเดือนนี้หลวงปู่ท่านนี้ก็ได้สอนให้รู้จิตตนเองและเป็นผู้ให้อย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนและหมั่นฝึกจิตบ่อยๆคิดพูดทำให้ดี
การเป็นเจ้าอาวาสใน 2 ปีแรกนั้นท่านก็ยังไม่ได้สร้างหรือทำอะไรเกี่ยวกับถาวรวัตถุในถนนโค้งเลย เพราะทางวัดและท่านเองก็ไม่มีเงิน ก็ไม่กล้าคิดเพราะถ้าคิดก็เป็นหนี้แน่นอน จนกระทั่งปีที่ 3 ของการเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้เดินสำรวจวัดในเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ จึงไปยืนหยุดตรงหน้าเชิงตะกอน (เมรุเก่า ของวัดถนนโค้ง) จนไปเห็นว่าเชิงตะกอนเก่านี้ไม่เห็นสวยเหมือนวัดอื่นๆเค้าเลย ทั้งๆที่ทุกคนก็ไม่อาจพ้นตรงนี้ไปได้ เป็นที่สุดท้ายของชีวิต ท่านจึงได้กลับมาเอาธูป 16 ดอกที่กุฏิของท่านแล้วขึ้นธุปจุดบอกอดีตเจ้าอาวาสและทวยเทพเทวาเจ้าที่เจ้าทาง คนที่บุกเบิกสร้างวัดมาแต่เก่าก่อน ว่า “จะสร้างเชิงตะกอนใหม่(เมรุ)”ทั้งๆที่ยังไม่มีเงิน เช้าวันรุ่งขึ้นก็เรียกช่างมาตีราคาและออกแบบแล้วก็เริ่มสร้างถาวรวัตถุมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นศาลาธรรมสังเวช กุฏิสงฆ์ หอหลวงพ่อใหญ่ ห้องน้ำ หลวงปู่ทวดและปิรามิต ทุกอย่างสร้างขึ้นโดยไม่มีเงินมาก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่มี่การขึ้นธูปกลางแจ้งตอนกลางคืนของทุกครั้ง แล้ววันรุ่งขึ้นก็ลงมือทำ จนสำเร็จทุกอย่างไปโดยไม่เป็นหนี้ เพราะทุกคนก็ช่วยกันทำมาตลอด ดังคำปรารถของท่านว่า “หากมัวแต่คิดว่ามีเงินแล้วค่อยลงมือทำ ชาติหน้าก็ไม่ได้ทำ”