web analytics
ธรรมะ

พระพุทธเจ้าทรงโปรดชฎิล3พี่น้องแห่งตระกูลกัสสป

พระพุทธเจ้าทรงโปรดชฎิล3พี่น้องแห่งตระกูลกัสสป

อุรุเวรกัสสปะเอย……ถ้าบุคคลเราสามารถได้สิ่งที่ปราถนาด้วยกิจเพียงง่ายๆ เพียงเพราะฆ่าสัตว์บูชาเพลิง อ้อนวอน เสริมเคราะห์ ต่อชะตาต่อเทพเจ้าแล้ว ใครเล่าจักเป็นผู้ยากจนแว่นแค้นผู้ระทมทุกข์ ใครเล่าจะพรากจากสิ่งที่ตนประสงค์ชฏิล

กรุงพาราณสีเป็นศูนย์กลางของลัทธิโยคะศาสตร์ และไสยาศาสตร์เกลื่อนกล่นด้วยพิธีกรรมของพราหมณ์ และเทวสถานน้อยใหญ่ ….. พระพุทธเจ้าเองก็ทราบความจริงในข้อนี้ ทรงไม่พยายามหักหาญการประกาศธรรมในหมู่พราหมณ์เหล่านี้ …. สมัยนั้นมีครอบครัวพราหมณ์ผู้มีอันจะกินตระกูลกัสสป มีบุตรชายอยู่3คน ซึ่งพี่น้องทั้งสามนี้มีความเพียรแก่กล้า ได้ออกไปตั้งอาศรมอยู้ริมแม่น้ำ ตำบล อุรุเวลา เพื่อบำเพีญเพียรเป็นสันยาสีแสวงหาซึ่งโมกษธรรม กัสสปผู้พี่ได้นามตามตำบลว่าอุรุเวลกัสสป คนที่สอง ตั้งอาศรมอยู่ริมแม่น้ำจึงได้ชื่อว่า นทีกัสสป ส่วนคนเล็ก ตั้งอาศรมอยู่ณ.หมู่บ้านตำบลคยาจึงได้ชื่อว่า คยากัสสป …. สันยาสีทั้งสามบำเพ็ญตบะแรงกล้า ก่อกูณฑ์อัคคี บริกรรมพิธีอยู่หน้ากองอัคคี นับเป็นพวกบูชาไฟ โดยคาดว่าเมื่อย่างกิเลสแห้งได้แล้วก็จะถึงซึ่งโมกษะ คือความหลุดพ้นได้ …… ซึ่งชฎิล3พี่น้องได้มีชาวบ้านมาขอเป็นศิษย์ กับอุรุเวลกัสสป500คน นทีกัสสป 300คนและ คยากัสสป 200 คน

เรื่องราวของชฎิล3พี่น้องเป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่ก่อนสิทธัตถะพุทธะจะตรัสรู้……. แต่ท่านก็มิได้ผ่านมายังสำนักนี้เพราะคิดว่า คำสอนและวิธีปฏิบัติที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค มิได้เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ จึงทรงระงับเสีย …… ครั้งเมื่อได้ทรงบรรลุธรรมด้วยอาศัยบำเพ็ญเพียรเป็นมัชฌิมาปฏิบัติแล้ว จะทรงประกาศธรรมเข้าไปในหมู่พราหมณาจารย์ จึงทรงดำริว่า มีความจำเป็นต้องสั่งสอนคณาจารย์ที่เป็นหัวหน้า ให้ยอมรับธรรมก่อน จึงจะสะดวกในการประกาศธรรมแก่คนอื่นต่อไป …. วันหนึ่งสิทธัตถะพุทธะจึงเสด็จออกจากป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน ตรงไปยังอาศรมของชฏิลผู้พี่คือ อุรุเวลกัสสป โดยยังไม่พบทางอื่นใดที่จะแสดงธรรม จึงทรงขอพบชฏิลผู้นั้น และมีรับสั่งว่า พระองค์เป็นผู้เดินทางมาแต่ถิ่นไกล ใคร่จะขอพักสักคืนหนึ่งให้หายเหนื่อยอ่อนแล้วจะเสด็จต่อไป

อุรุเวลกัสสปเกิดความไม่พอใจที่ถูกรบกวนจึงตอบปฏิเสธไป สิทธัตถะพุทธะทรงอ้อนวอนอยู่แล้วอยู่เล่า…….. อุรุเวลกัสสปจึงพูดเป็นทำนองเสียไม่ได้ว่า มีอยู่แต่โรงพิธีก่อกูณฑ์อัคคีใหญ่มีแท่นบูชาไฟและงูร้ายตัวหนึ่งเลี้ยงไว้ให้อาศัยควบคุมโรงพิธี หากไม่กลัวภัยจากงูร้ายก็ตามอัธยาศัย…. สิทธัตถะพุทธะจึงตอบชฏิลว่า พระองค์ไม่ทำร้ายมัน และเชื่อว่ามันจะไม่ทำร้ายพระองค์ จึงทรงยินดีจะเข้าพักในโรงพิธี….. กลางดึกพญางูร้ายได้ออกมาเมื่อเห็นสมณสารูปของสิทธัตถะพุทธะที่มีนิมิตแห่งความเมตตา ยังความสงบอันหาจากบุคคลอื่นมิได้เล่า ความมุ่งร้ายของพญางูร้ายกระทบกับกระแสแห่งพระบริสุทธิคุณ แและพระเมตตาคุณอันมีอำนาจรุนแรงกว่า ความมุ่งร้ายก็ผ่อนคลายไปไม่เหลือ พญางูจึงพ่ายแพ้แก่อำนาจธรรม เกิดความเลื่อมใส จึงเลื้อยเข้าไปใกล้แล้วขดตัวผงกหัวเป็นกิริยาแสดงความเคารพอยู่

ข้างชฎิลใหญ่เมื่อเข้ามาเห็นจึงแปลกใจ และคิดอยากได้สมณะรูปนี้ไว้เป็นเครื่องมือเพื่อภายหน้าอาจเป็นผู้ช่วยสอนศิษย์ได้……… จึงชวนให้สิทธัตถะพุทธะอาศัยอยู่ในอาศรมต่อ …. ล่วงไปหลายราตรี วันหนึ่งได้มีโอกาสสิทธัตถะพุทธะได้โอกาสสนทนากับชฎิลในฐะนะผู้อาศัย

สิทธัตถะพุทธะ : ท่านชฎิลผู้ใหญ่ มีคนกล่าวกันว่า ท่านเป็นอรหันต์ผู้พ้นจากกิเลสและมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าหรือ

ชฎิลใหญ่ : อรหันต์นั้นคืออะไร

สิทธัตถะพุทธะ : อรหันต์หมายถึงผู้มีความสะอาด เอาชนะกิเลสเครื่องเศร้าหมองได้โดยการดำเนินตนตามมรรค8ประการ และการปฏิบัติตนของผู้นั้นไม่เป็นไปเพื่อความลำบากแก่ตนและผู้อื่น ….. ส่วนการปฏิบัติของท่าน ถือการบูชาไฟเป็นกรรมพิธีนั้น หาได้เป็นเครื่องชำระความไม่สะอาดให้หมดไปไม่ ผู้ปฏิบัติยังคงคลุกเคล้าด้วยกิเลสและบาปอยู่เป็นนิจ

ชฎิลใหญ่แสร้งนิ่งแต่รู้สึกพอใจรู้สึกนอบน้อมลงสู่ความยอมรับ …. สิทธัตถะพุทธะเห็นการนิ่งของชฎิลใหญ่ จึงรับสั่งย้ำถึงธรรมอันจะช่วยให้บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งฐานะอรหันต์ คือปฏิบัติตามทางแห่งมรรค8เพื่อบรรลุโมกษะ เพราะเห็นว่าไฟเป็นของร้อน ย่างกิเลสเครื่องเศร้าหมองได้นั้น ไม่ใช่ทางที่ชอบ ผิดจากทางพระอรหันต์ เป็นการเปลืองเวลา ทำร่างกายให้ทรมาณอยู่ไม่รู้สิ้น ….. ชฎิลใหญ่มาดำริตามคำรับสั่งของสิทธัตถะพุทธะ ก็มองเห็นความจริง ครั้นเงยหน้าดูพระพักตร์อันงดงามและสะอาด มีพระรัศมีฉายพระบริสุทธิคุณและพระเมตตาคุณอันจะหาไม่ได้จากบุคคลอื่นใด…. ที่สุดชฎิลใหญ่จึงยอมเป็นศิษปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ต่อไป และได้บอกกล่าวกับศิษย์ทั้ง500คน ซึ่งก็พร้อมใจตามชฎิลใหญ่และขนเครื่องบริขารบูชาไฟออกไปยังแม่น้ำหน้าอาศรม ลอยเครื่องบริขารเหล่านั้นเสียสิ้นเชิง เป็นการประกาศสลัดทิ้งฐานะแห่งผู้บูชาไฟลงอย่างเด็ดขาดในวันนั้น

บริขารที่ชฎิลใหญ่ลอยไหลไปตามแม่น้ำผ่นไปยังอาศรมของนทีกัสสป น้องชายกลางและ คยากัสสปน้องชายคนเล็ก…… ทั้งสองจึงพากันออกจากอาศรมของตนพร้อมด้วยบริวารไปยังอาศรมของพี่ชาย….. ครั้งไปถึงเห็นพี่ชายและบริวารเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นแบบสิทธัตถะพุทธะไปจนหมดสิ้น เมื่อถามไถ่จึงเลื่อมใสตามพี่ชาย และขอเลิกบำเพ็ญตนเป็นชฎิลด้วย พี่ชายใหญ่จึงให้น้องชายทั้งสองพร้อมบริวารอีก500คนเข้าเฝ้าสิทธัตถะพุทธะประกาศตนเป็นสาวกยอมรับฟังธรรมและปฏิบัติธรรมตั้งแต่เวลานั้น

สิทธัตถะพุทธะประทับเป็นประธานต่อหน้าชฎิลพี่น้องกับบริวารอีก1000คน ทรงแสดงธรรมอธิบายโทษของการบูชาไฟ……. เปรียบเทียบกิเลสของมนุษย์ที่เร่าร้อนมากกว่าความร้อนของไฟ ธรรมะที่ทรงแสดงเรียกว่า อาทิตตปริยสูตร มีความสำคัญว่า….. ยามใดที่บุคคลฟุ้งซ่าน ไม่มีระเบียบ ยามนั้นอวิชชาคือความเขลา ย่อมเข้ามาปกคลุมซึ่งความคิดของบุคคลนั้น เหมือนหนึ่งกลุ่มหมอกปกคลุมนภากาศ ปิดธรรมอันควรเห็นไม่ให้เห็นฉะนั้น …… ไฟกองใหญ่ที่เกิดในบุคคลมี3กองคือ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ เป็นเครื่องเผาผลาญอยู่ บุคคลใดมองเห็นกองไฟเหล่านี้ พยายามดับกองไฟเหล่านี้เสีย ระงับซึ่งราคะ โมหะ และโทสะ ใจจักสงบ ดวงตาที่มืดอยู่จักเห็น เกิดความรู้และความบริสุทธิ์…… เมื่อใจบริสุทธิ์เพราะมองเห็นกองไฟเหล่านี้ ความเกลียดชังในบาปจะเกิดขึ้น กองไฟทั้ง3กองมอดไป ก็จะละซึ่งสิ่งผูกพันทั้งปวง

ชฎิล3พี่น้องพร้อมทั้งสาวกน้อยใหญ่1000คนต่างพากันสรรเสริญธรรมะของสิทธัตถพุทธะ ……ประกาศตนเป็นผู้ถึงธรรมะและประกาศทิ้งเพศและแบบอย่างแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนที่เคยมีมา ทูลถวายแด่สิทธัตถะพุทธะและธรรมอันเป็นสัมมาสัมโพธิ ที่สิทธัตถะตรัสรู้ตั้งแต่เวลานั้น

Facebook Comments
แบ่งปันลิงค์นี้ :